Tower of London
ต้นเดือนมิถุนายน พี่เก๋กับพี่ติ๋ง มาเดินเล่นในลอนดอน ช่วงนี้ท้องฟ้าแจ่มใส อุณหภูมิประมาณ 17 องศา เย็นสบาย เหมือนอยู่ในห้องแอร์ตลอดวัน เดือนนี้เข้าฤดูร้อนของอังกฤษ ดวงอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ ยังไม่ตีสี่ และตกหลังสามทุ่มไปแล้วครับ

อย่างว่านะครับ คนพิเศษ ระดับพี่เก๋และพี่ติ๋ง มาต่างบ้านต่างเมืองทั้งที ลงจากเครื่องบิน ก็ตรงเข้าเขตพระราชฐานกันเลย เรามาที่ Tower of London ซึ่งเป็นป้อมปราการ ล้อมรอบพระราชวังด้านในครับ ตั้งอยู่ทางตะวันออก ของกรุงลอนดอน ริมฝั่งแม่น้ำเธมส์

เมื่อ ค.ศ. 1066 Duke of Normandy ซี่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น ริมชายฝั่งทะเล ในประเทศฝรั่งเศส ยกทัพมาบุกลอนดอน และปราบดาภิเษก เป็นกษัตริย์อังกฤษ จากนั้นยังยึดดินแดนอื่นๆ บนเกาะอังกฤษ เพิ่มเรื่อยๆ จนได้รับสมญานามว่า William the Conqueror (วิลเลียม วิชิตราช)

พระเจ้าวิลเลียม เริ่มสร้างหอคอย เป็นป้อมปราการ ริมแม่น้ำเธมส์ ชื่อว่า White Tower ที่เห็นนี้ เพื่อใช้ป้องกัน ตัวเมืองลอนดอน บริเวณนี้ เป็นชัยภูมิที่ดี ในการป้องกันเมือง เพราะก่อนหน้านั้น หนี่งพันปี กองทัพโรมัน ภายใต้จักรพรรดิ Claudius ก็เคยสร้างป้อมปราการ ที่จุดนี้มาก่อนแล้ว กำแพงยุคโรมัน บางส่วน ยังคงหลงเหลือ อยู่จนปัจจุบัน หลังจาก White Tower แล้ว กษัตริย์ในยุคหลัง ก็สร้างกำแพง และอาคารอื่นๆ ล้อมรอบ White Tower เพิ่มเติม มาเรื่อยๆ ครับ

ปัจจุบัน White Tower ใช้เป็นที่จัดแสดง อาวุธโบราณ และเสื้อเกราะ ด้านในของ White Tower มีโบสถ์ Saint John's Chapel ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุด ในลอนดอน

Tower of London ใช้เป็นพระราชวัง ที่ประทับของกษัตริย์เรื่อยมา จนในสมัย พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 เสด็จย้ายไปประทับ ที่พระราชวัง Whitehall ใน ค.ศ. 1529 จากนั้น Tower of London ก็ใช้เป็นที่ คุมขังนักโทษ โรงกษาปณ์ และกรมทหาร แถมยังเคยใช้ เป็นสวนสัตว์ด้วยครับ

  บริเวณนี้ เป็นจุดที่เป็น ลานประหาร (Scaffold Site) ครับ ประหารเสร็จ ก็นำไปฝัง ในอาคารที่เห็นด้านหลัง คือโบสถ์ Chapel Royal of Saint Peter ad Vincula

อันที่จริง Tower of London เป็นเหมือนเขตพระราชฐาน ปกติการประหารชีวิต ต้องกระทำนอกเขตปราการ จะไม่ใช้บริเวณข้างในปราการ ในการประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม มีบุคคลสำคัญ 7 ราย อุตส่าห์ได้รับเกียรติ ให้โดนประหาร ภายในเขตดังกล่าว อาทิเช่น พระนางแอน โบลีน มเหสีในพระเจ้าเฮนรีที่ 8 โอกาสอย่างนี้ ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นะเนี่ย แต่เราเอง คงไม่อยากได้รับโอกาสอะไร แบบนี้นะครับ

เรื่องที่น่ากลัวมาก ใน Tower นี่ ไม่ใช่ลานประหารหรอกครับ แต่เป็นนักล้วงกระเป๋า ซึ่งชุกชุมยิ่งกว่ายุงแถวป่าชายเลน เรื่องนี้ เราได้รับคำเตือนมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่วายโดนจนได้ครับ

นักล้วงในอังกฤษ มักจะเป็นเด็กหรือวัยรุ่น หน้าตาดี แต่งตัวดี ถ้าโดนจับได้ มักจะไม่โดนลงโทษ เนื่องจากกฎหมายของอังกฤษ จะไม่ลงโทษเยาวชนที่อายุไม่ถึงกำหนด และถ้าเราต่อสู้หรือทำร้ายนักล้วง อาจจะโดนข้อหาทำร้ายร่างกายอีกต่างหาก นักล้วงพวกนี้ จึงหากินกันอย่างอุกอาจมาก

ระหว่างที่พี่เก๋เขากำลังเลือกซื้อของ ในร้าน gift shop บริเวณTower นั้น มีวัยรุ่น 3-4 คน แกล้งเข้ามาเบียด แล้วพยายามล้วงกระเป๋าถือ โชคดีที่พี่เก๋เขาไหวตัวทัน นักล้วงกลุ่มนี้จึงไม่ได้อะไรไป

อย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะ ไม่ได้โชคดีอย่างพี่เก๋ เป็นเรื่องน่าเห็นใจครับ มีรายหนึ่งในคณะเรา โดนล้วงกระเป๋าสตางค์ ไปจนได้ นอกจากสูญ เงินปอนด์ไปแล้ว ยังต้องรีบโทรศัพท์ กลับมาเมืองไทย เพื่ออายัดบัตรเครดิต อีกด้วย
อาคารที่เห็น คือสถานที่เก็บมหามงกุฎ สำหรับพิธีบรมราชาภิเษก เครื่องราชกกุธภัณฑ์ และของมีค่าอื่นๆ ของพระราชวงศ์ เปิดให้เข้าชม แต่ไม่ให้ถ่ายรูปภายในครับ ด้านในนั้น คิวยาวเหยียด เลยแหละ

มงกุฎชิ้นสำคัญ ของที่นี่ มีสององค์ องค์แรกคือ Imperial State Crown มหามงกุฎ ซึ่งมักใช้ ในงานพระราชพิธี ประดับด้วยเพชร เม็ดใหญ่ อันดับที่สอง ของโลก ชื่อ Cullinan 2 น้ำหนัก 317 กะรัต

อีกองค์คือ มงกุฎของพระราชชนนี ประดับด้วยเพชร ชื่อ โคอินูร์ ซึ่งเคยเป็นเพชร เม็ดใหญ่ที่สุดในโลก เดิมมีน้ำหนักกว่า 780 กะรัต แต่เจียระไน จนเหลือเพียง 105.6 กะรัต

ส่วนเพชร เม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ก็อยู่ที่นี่ เหมือนกันครับ แต่ใช้ประดับคธา ไม่ได้ประดับมงกุฎ เป็นเพชรชื่อ Cullinan 1 เดิมมีขนาด 3,106 กะรัต เจียระไนแล้ว เหลือ 530 กะรัต


แนวอาคาร ที่บริเวณด้านหลัง มีชื่อว่า Queen's House ฟังดูชื่อแล้วไพเราะดีนะครับ ตัวอาคารก็สวยดี น่าอยู่มาก แต่อันที่จริงแล้ว เคยเป็นที่คุมขังนักโทษ อย่างเช่น พระนางแอน โบลีน และเลดี้ เจน เกรย์ ก่อนจะนำไปตัดคอ ที่ลานประหาร



  ทหารรักษาการณ์ที่นี่ เรียกว่า Yeoman Warders ครับ หรือเรียกกันเล่นๆ ว่า Beefeaters ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศสว่า boufitiers แปลว่า ผู้ดูแลจัดหาอาหาร สำหรับกษัตริย์

  กองทหารรักษาพระองค์เหล่านี้ มีจำนวน 42 นาย เริ่มจัดตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1485 ในรัชกาล พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 กองทหารดังกล่าว ในปัจจุบัน จะคัดเลือกมาจาก นายทหารสัญญาบัตร ที่รับราชการทหาร ในกองทัพมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 22 ปี

  บริเวณใกล้กับ Tower of London จะมีสะพานข้ามแม่น้ำเธมส์ ไปอีกฝั่งหนึ่ง เป็นสะพานที่สวยมาก จนกลายเป็น landmark อย่างหนึ่งของลอนดอน พวกน้องๆ คงเคยเห็นในรูปภาพจนคุ้นตา และคงจะจำชื่อได้ดี สะพานนี้มีชื่อว่า ...เอ้อ ... ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ London Bridge แต่มีชื่อว่า Tower Bridge ครับ เป็นสะพานแบบโกธิก สร้างเมื่อ ค.ศ. 1894 ในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย คือเพิ่งสร้างเมื่อ ร้อยกว่าปีก่อน ในขณะที่ตัว Tower of London นั้น สร้างมาเกือบพันปีแล้ว

  ส่วน London Bridge ที่เราเคยได้ยิน ในเพลง London Bridge Is Falling Down นั้น เป็นสะพานอีกแห่งหนึ่ง เลยจาก Tower Bridge ออกไปหน่อย สะพานนี้ เป็นสะพาน ข้ามแม่น้ำเธมส์ สะพานแรก ของลอนดอน สร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1209 เดิมทำด้วยไม้ และโดนไฟไหม้บ่อยๆ ต่อมาเลยสร้างใหม่ เป็นสะพานหินแกรนิต มีหน้าตาธรรมดาๆ เลยไม่มีใครอยากถ่ายรูปไว้นัก และไม่มีทัวร์ไหน เขาพาไปดู London Bridge กันหรอกครับ

  มีเรื่องแปลกอย่างหนี่งว่า เมื่อ ค.ศ. 1968 ทางการ ต้องการรื้อสะพาน London Bridge แล้วสร้างเป็น สะพานคอนกรีต ทดแทน เพื่อเพิ่มผิวจราจร ในเวลานั้น มีมหาเศรษฐี อเมริกันรายหนึ่ง มาขอซื้อ สะพานเดิมนั้น รื้อออกไปประกอบใหม่ ที่ทะเลสาบฮาวาสุ รัฐอะริโซนา ในราคาถึงหนี่งล้านปอนด์ (เจ็ดสิบห้าล้านบาท) คนลอนดอนงงกันมาก ว่าใครอยากจะซื้อสะพานหิน หน้าตาธรรมดาๆ ในราคาแพงขนาดนั้น ลือกันให้แซด ว่ามหาเศรษฐีรายนี้ ฉับฉน ... ฉับฉน ... เข้าใจผิดว่า London Bridge คือสะพานสวยๆ ในลอนดอน ทั้งที่ความจริง สะพานสวยๆ คือ Tower Bridge ต่างหาก เรื่องนี้ จริงเท็จประการใด ไม่ยืนยันครับ แต่พี่ติ๋งขอตั้งข้อสังเกต ไว้สองข้อนะครับ

ข้อแรก มหาเศรษฐีนั้น มักจะไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ซึ่งถ้าคิดในอีกแง่นึง คงไปโทษเขาไม่ได้ครับ เพราะถ้ามัวเอาเวลา มาสนใจประวัติศาสตร์ แทนที่จะเอาเวลา ไปทำมาหากิน ก็จะไม่มีเงิน ไม่รวย ไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีกับเขาสักที ดังนั้น การที่เขาไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจนะครับ

ข้อสังเกตข้อสอง ก็คือ คนเป็นมหาเศรษฐีนั้น ขนาดเซ่อซ่า ซื้อสะพานผิดไปสะพานนึง เราก็ยังคงเรียกเขาว่า มหาเศรษฐี อยู่เหมือนเดิมครับ

U.K.

Rxrama.com. Photographs and texts © 2004 Anupun Sra-ium